Quantcast
Channel: CatDumb –แคทดั๊มบ์ | เล่าเรื่องน่าสนใจ ในแบบที่แมวก็เข้าใจง่ายๆ
Viewing all 20863 articles
Browse latest View live

สุดระทึก การล่าของ “ปลากบ”ที่เวลาเดินเชื่องช้า แต่อย่าให้ตะครุบเหยื่อ เร็วราวกับภาพตัด

$
0
0

ธรรมชาได้ก็สรรค์สร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ให้ดูน่าค้นหาและน่าติดตาม วันนี้เราจะพาทุกท่านไปชมการ “ล่าเหยื่อ” ของปลากบ

ที่หน้าตาและลักษณะของมันดูอ้วนๆ กลมๆ เชื่องช้า แต่อย่าให้มันได้งับเหยื่อเพราะความคิดของคุณที่มองว่ามันตุ้มตุ้ย จะเปลี่ยนไปในทันที!!

ปลากบหรือ Frog Fish เป็นปลาในตระกูล ปลาตกเบ็ด โดยจะมีลักษณะเป็นติ่งที่เอาไว้สำหรับล่อเหยื่องอกออกมาที่บริเวณด้านบนของปาก

 

 

เจ้าปลากบนี้สามารถพบได้ทั่วไปในมหาสมุทรเขตร้อน ยกเว้นในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

เป็นปลาที่มีรูปร่างลักษณะสั้น ตัวหนาอ้วนกลม เวลาว่ายน้ำก็จะใช้ครีบเดินไปตามพื้นทะเลอย่างช้าๆ มีสีตัวที่ใช้ในการพรางตัวได้ดี บางชนิดก็จะมีขนตามลำตัว และสามารถเปลี่ยนสีได้

 

 

 

หากมองแค่ผิวเผินมันก็เป็นปลาตัวอ้วนๆ เดินได้อย่างเชื่องช้า แต่อย่าให้มันได้งับเหยื่อ เพราะปลากบนี้สามารถในการกัดที่รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ และมีพลังในการดูดที่คล้ายกับเครื่องดูดฝุ่นที่ทรงพลังเพื่อดูดเหยื่อเข้าไปในปาก

จากข้อมูลระบุว่า ความเร็วในการตะครุบเหยื่อของปลากบนั้นจะใช้เวลาแค่ 6 มิลลิวินาทีเท่านั้น

 

ถ้าสงสัยว่าเร็วแค่ไหน ก็ลองไปชมคลิปวิดีโอต่อนี้ดูก่อนครับ…

ในคลิปวิดีโอต้องลดความเร็วด้วยสัดส่วน 1 : 6,000 วินาที ถึงจะเห็นว่ามันงับเหยื่ออย่างไรแบบสโลวโมชัน

ส่วนใหญ่ปลากบจะกินกุ้ง และปลาเล็กอื่นๆ เป็นอาหาร วิธีการล่าของมันก็คือจะอาศัยรอเหยื่อเข้ามาใกล้ๆ ตัว พอสบโอกาสก็จะเปิดฉากงับด้วยความเร็วแสง

 

พยายามจะแคปตอนมันงับเหยื่อให้ทัน แต่ไวเกิน 5555

 

ด้วยความเร็วจากการงับ และแรงดูดจากภายในร่างกายของมัน เหยื่อก็จะเข้าไปอยู่ในหลอดอาหารที่ปิดด้วยกล้ามเนื้อแบบพิเศษ เพื่อไม่ให้เหยื่อหลบหนีออกมาจากการขยายปากของพวกมันได้

นอกจากนี้เจ้าปลากบยังสามารถขยายท้องและกระเพาะอาหารของมันได้อีกด้วย ทำให้มันสามารถกินเหยื่อที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวของมันเอง 2 เท่าได้แบบสบายๆ

 

เรียบเรียงโดย #เหมียวหง่าว

 

ที่มา : Smithsonian Channel, wikipedia


วิจัยพบ “หมีน้ำ”สามารถรอดจากการถูกเอาไปใส่กระสุน ยิงอัดเป้าหมายด้วยความเร็ว 3,000 กม./ชม. ได้

$
0
0

เคยได้ยินเรื่องราวของ “หมีน้ำ” (Tardigrades) กันมาก่อนไหม นี่คือสัตว์ตัวจิ๋วขนาดเพียงราวๆ 1 มิลลิเมตร แต่กลับมีชื่อเสียงเรื่องความอึดตายยากสุดๆ สามารถทนได้ทั้งความร้อนสุดขั้วและความหนาวสุดกู่

แถมยังคืนชีพจากการถูกแช่แข็งถึง 30 ปีได้ และต่อให้มันถูกส่งขึ้นไปบนอวกาศแบบไร้การป้องกันพวกมันก็รอดกลับมาได้อีก

แต่เมื่อล่าสุดนี้เองดูเหมือนว่าหมีน้ำสุดอึดของเราก็จะสร้างวีรกรรมใหม่อีกแล้ว เพราะหลังนักวิจัยอังกฤษได้ลองเอาหมีน้ำไปยัดใส่ลูกกระสุนแล้วยิงออกจากปืนดู พวกเขาก็พบว่าพวกมันสามารถเอาชีวิตรอดได้ แม้พุ่งชนเป้าหมายด้วยความเร็ว 900 เมตรต่อวินาทีเลย

 

 

การทดลองในครั้งนี้เป็นผลงานร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยเคนต์และมหาวิทยาลัยลอนดอนของประเทศอังกฤษ ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Astrobiology ฉบับวันที่ 11 พฤษภาคม 2021

ซึ่งการทดลองในครั้งนี้ ก็เกิดขึ้นเพื่อหาคำตอบว่า ในตอนที่ยาน Beresheet lander ของอิสราเอลชนดวงจันทร์ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว หมีน้ำที่ถูกบรรทุกไปบนยานด้วยจะยังคงรอดชีวิตอยู่หรือไม่นั่นเอง

ในการทดลองครั้งนี้นักวิทยาศาสตร์จะนำหมีน้ำที่ถูกแช่แข็งจนเข้าสู่ภาวะจำศีลบรรจุลงในลูกกระสุนปืนแบบเฉพาะ ก่อนที่จะนำมันไปยิงใส่เป้าที่ทำจากทรายด้วยความเร็วที่มากขึ้นเรื่อยๆ

 

ภาพสุดท้ายของ ยานอวกาศ “Beresheet lander” ก่อนตัวยานพุ่งเข้าชนกับดวงจันทร์

 

โดยพวกเขาได้พบว่าแม้จะชนกับเป้าหมายอย่างจัง แต่หมีน้ำก็จะสามารถรอดชีวิตจากแรงกระแทกได้สูงถึง 1.14 จิกะปาสคาล แม้ว่าร่างกายบางส่วนจะเสียหายไปก็ตาม

หากเทียบให้เห็นภาพ ในการทดลองพวกมันจะสามารถรอดจากการกระแทกเป้าหมาย ในกระสุนที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 900 เมตรต่อวินาที หรือราว 3,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยนั่นเอง

 

 

แต่แม้ตัวเลขที่ออกมานี้จะน่าทึ่งก็ตาม ดูเหมือนว่ามันก็ยังไม่น่าทึ่งมากพอที่จะทำให้หมีน้ำที่ถูกบรรทุกไปบนยาน Beresheet lander รอดชีวิตจากการพุ่งชนดวงจันทร์แต่อย่างไร

เพราะตามปกติแล้วขณะอุกกาบาตพุ่งชนโลก อุกกาบาตส่วนใหญ่จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วถึงราวๆ 11 กิโลเมตรต่อวินาทีเลย และแม้ความเร็วในการชนดวงจันทร์ของยาน Beresheet lander อาจจะต่ำ (หรือสูง) กว่านี้ มันก็น่าจะมากกว่า 900 เมตรต่อวินาทีอยู่ดี

และแน่นอนว่าการทดลองในครั้งนี้ก็ทำให้แนวคิดที่ว่าหมีน้ำเป็นสัตว์ที่ตกลงมาบนโลกพร้อมอุกกาบาตในอดีตถูกล้มล้างไปด้วยเช่นกัน

 

 

ถึงอย่างนั้นก็ตามเราก็คงปฏิเสธไม่ได้เลยอยู่ดีว่าหมีน้ำนั้น ในท้ายที่สุดแล้วก็ถือเป็นสัตว์ที่อึดทนทายาดอยู่ดี และเรื่องราวความมหัศจรรย์ของพวกมันก็อาจจะถูกค้นพบเพิ่มเติมอีกในอนาคตนี้เป็นแน่

 

ที่มา iflscience, bbc และ liebertpub

แพลตฟอร์ม Defi100 ปิดตัวกะทันหัน ชาวเน็ตสูญเงินเกือบ 1,000 ล้าน –เริ่มมีการรุมแหกเจ้าของ

$
0
0

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่สดใสสำหรับนักลงทุนที่ถือครองคริปโตคอเรนซี่เท่าไรนัก ไม่ว่าจะเป็นข่าวการแบนของทางจีนที่เป็นกระแสอีกรอบ หรือกระทั่งดราม่ากับคนดัง Elon Musk1

ซึ่งนั่นส่งผลให้สกุลเงินคริปโตหลายตัวปรับราคาลง กระทั่งพี่ใหญ่อย่าง Bitcoin ยังปรับราคาลดลงมาถึง 36%

 

ภาพ: Siam Blockchain

 

ล่าสุด มีกระแสข่าวดังขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่คุณปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้ง Satang Pro กระดานเทรดคริปโตแห่งแรกของคนไทย แชร์ข่าวการปิดตัวของ Defi100

Defi100 นั้นเป็นแพลตฟอร์มที่ให้เรานำคริปโตไปฝาก เพื่อสร้างผลตอบแทนเป็น % ตามที่ระบุไว้ แต่กลับปิดตัวกะทันหัน จนเงินของนักลงทุนสูญหายไป

 

“DeFi100 ประกาศหน้าเว็บไซด์ exit scams โดยได้ยักยอกเอาเงินนักลงทุนไป $32 million (970 ล้านบาท)

พร้อมทั้งทิ้งข้อความไว้ว่า (รบกวนแปลเองนะครับ) “We scammed you guys, and you can’t do shit about it”

ซึ่งก็แปลได้ว่า “พวกกรูหลอกพวกมรึงแล้ว และแน่นอนว่า.. มรึง ทำ อะ ไร ไม่ ได้ เลย!!”

 

หลังจากแพลตฟอร์มปิดตัว จากการประเมินคาดว่ามีจำนวนบัญชีที่ถือครองเหรียญ D100 รวมกันกว่า 7,000 บัญชี มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเกือบ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปได้ยากในการที่จะสาวถึงตัวผู้ก่อตั้ง

อย่างไรก็ตาม  เริ่มมีชาวเน็ตบางส่วนพยายามแกะรอยเจ้าของเหรียญและผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มดังกล่าว ซึ่งในจุดนี้ยังไม่มีการยืนยันว่าจะเป็นเขา 100% ใช่หรือไม่ และจะตามตัวเขาได้หรือไม่

 

เริ่มจากความไม่พอใจ ทั้งเรื่องการปิดตัวอย่างกะทันหัน และเรื่องข้อความเยาะเย้ยที่ทิ้งเอาไว้บนหน้าเพจ ซึ่งเหมือนเป็นการดูถูกชาวเน็ตที่ไว้ใจในแพลตฟอร์ม

 

จึงมีการขุดว่าผู้ก่อตั้ง Defi100 อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับ Angel Token หรือไม่ก็เป็นผู้ก่อตั้งรายเดียวกัน

 

ขุดกันจนถึงกระทั่งรู้โซเชียลเน็ตเวิร์กของเจ้าตัว มีการนำรูปมาแขวน เพื่อตามตัวกันเลยทีเดียว

(ยังไม่มีการยืนยัน ว่าจะเป็นบุคคลนี้แน่นอน โปรดใช้วิจารณญาณในการเสพข่าว)

 

หลังจากเรื่องนี้กลายเป็นข่าว คอมเมนต์ชาวเน็ตหลายคนก็มีมุมมองว่าการลงทุนในโลกคริปโตนั้น เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาหาความรู้ให้ดี โดยเฉพาะความน่าเชื่อในแพลตฟอร์ม

ซึ่งก่อนหน้านี้ เรามักจะได้เห็นหลายแพลตฟอร์มที่ขาดความน่าเชื่อถือ ไม่มีการรับรอง เสกเหรียญขึ้นมาแบบไม่จำกัด หรือปิดตัวกะทันหัน ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายตามมาจนควบคุมไม่ได้

เพราะฉะนั้น อย่าลืมลงทุนด้วยความไม่ประมาท และศึกษาหาความรู้ให้เราเข้าใจในสิ่งที่จะลงทุนอยู่เสมอนั่นเอง..

 

.

.

 

เรียบเรียง #ประธานเหมียว

ประเทศเยอรมนี ผ่านกฎหมาย “แบนการสังหารลูกไก่ตัวผู้”ในฟาร์มเลี้ยง พร้อมบังคับใช้ต้นปี 2022

$
0
0

สำหรับวงการฟาร์มเลี้ยงไก่ในหลายๆ ที่ทั่วโลก มันเป็นเรื่องที่แทบจะกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้ว ที่พวกเขาจะสังหารลูกไก่ตัวผู้ทิ้งไม่นานหลังจากที่มันฟักเป็นตัว เนื่องจากไก่เหล่านี้ไม่สามารถวางไข่ได้ และไม่เหมาะสำหรับการผลิตไก่เนื้อเท่าตัวเมีย

อย่างไรก็ตาม สำหรับเยอรมนี ธรรมเนียมการสังหารลูกไก่ตัวผู้นี้ ก็อาจกำลังจะหายไปในอนาคตอันใกล้นี้แล้วก็ได้

เพราะเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2021 ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลกลางของประเทศก็เพิ่งจะผ่านร่างกฎหมาย ห้ามการคัดสังหารลูกเจี๊ยบตัวผู้ไป และจะมีผลบังคับใช้ ในวันที่ 1 มกราคม ปี ค.ศ. 2022 ที่จะถึงนี้

 

 

อ้างอิงจากรายงานของสำนักข่าวต่างประเทศ การผ่านกฎหมายในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เมื่อช่วงปี 2019 ศาลปกครองกลางของเยอรมนีได้มีคำตัดสินให้สวัสดิภาพของสัตว์มีความสำคัญมากกว่า ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

และสั่งห้ามไม่ให้ผู้เลี้ยงสัตว์สังหารลูกไก่ตัวผู้ ยกเว้นแต่ในระยะเปลี่ยนผ่านไก่ที่เลี้ยงเท่านั้น เนื่องจากสมาชิกสภาหลายคนได้ตัดสินว่านี่เป็นการกระทำที่ “ไม่ควรเป็นที่ยอมรับทางจริยธรรม”

 

 

การตัดสินใจในครั้งนี้จะไม่เพียงแต่จะทำให้ประเทศเยอรมนีกลายเป็นประเทศแรกของโลก ที่มีการออกกฎหมายห้ามการฆ่าลูกไก่จำนวนมากอย่างเป็นทางการเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ในประเทศด้วย

นั่นเพราะในปัจจุบัน โดยเฉลี่ยแล้วในเยอรมนีจะมีลูกไก่ตัวผู้สูงถึงราวๆ 43 ล้านตัวต่อปี เลยทีเดียว ที่จะถูกสังหารตามธรรมเนียมที่ผ่านมา

 

 

ถึงอย่างนั้นก็ตาม การผ่านร่างกฎหมายในครั้งนี้ก็อาจจะไม่ได้ทำให้ลูกไก่ตัวผู้ มีโอกาสได้รอดชีวิตจนเติบโตมากขึ้นอย่างที่หลายๆ คนคิดนักเช่นกัน

นั่นเพราะในปัจจุบันเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ หลายรายนั่น ยังคงสามารถหันไปพึ่งพาเทคโนโลยีการตรวจเพศลูกไก่ ด้วยฮอร์โมน ตั้งแต่ที่ตัวอ่อนแทบจะยังไม่ได้พัฒนาในไข่ได้

ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถคัดเพศของลูกเจี๊ยบที่จะออกมาลืมตาดูโลกได้ ตั้งแต่ที่มันยังคงเป็นไข่อยู่เลยนั่นเอง

 

 

ที่มา iflscience และ dw

ลูกเอาโควิดมาติดแม่ ป่วยโคม่า ก่อนใส่ท่อหายใจบอกลูกว่า “อย่าโทษตัวเอง หากแม่ไม่ฟื้นขึ้นมา”

$
0
0

จากเหตุการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นนี้ต่างก็ทำให้หลายๆ คนต้องพบเจอกับเรื่องอันน่าเจ็บปวดใจ

หลายคนต้องสูญเสียคนที่รักไปเพราะมัน ขณะที่บางคนก็ต้องเปลี่ยนแพลนชีวิตเพราะตกงาน เป็นต้น

และนี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวครอบครัวหนึ่งในประเทศมาเลเซีย เมื่อลูกนำโควิดไปติดแม่ และทำให้แม่มีอาการโคม่า

เหตุการณ์ที่ว่านี้ถูกแชร์โดยคุณหมอ Timothy Lau จากโรงพยาบาล Serdang ตั้งอยู่ในรัฐสังงอร์ ประเทศมาเลเซีย

 

 

คุณหมอได้ทำการแชร์ภาพและเล่าเรื่องราวสุดเจ็บปวดหัวใจ เมื่อคนไข้รายหนึ่งกำลังจะได้รับการรักษา หลังมีอาการหนักเนื่องจากติดเชื้อโควิด-19

ก่อนที่จะทำการใส่เครื่องช่วยหายใจ คุณหมอจะถามคนไข้ว่า มีใครอยากจะติดต่อเพื่อพูดคุยก่อนหรือไม่? ซึ่งคนไข้รายดังกล่าวก็บอกว่าอยากจะคุยกับลูก

เจ้าหน้าที่จึงหยิบโทรศัพท์มาให้กับผู้ป่วย และโทรหาลูกของเธอ จากนั้นเธอก็บอกลูกของตัวเองว่า

“แม่ไม่โทษลูกหรอกนะที่เอาโควิด-19 มาติดแม่ อย่าโทษตัวเองถ้าสุดท้ายแล้วแม่ไม่ฟื้นขึ้นมา”

 

 

View this post on Instagram

 

A post shared by Timothy Lau (@timothylau_qs)

 

ก่อนที่คุณหมอจะดำเนินการใส่เครื่องช่วยหายใจให้กับผู้ป่วยที่เป็นหญิงสูงอายุรายดังกล่าว

ซึ่งคุณหมอเองก็เปิดเผยว่า ทุกวันนี้การทำงานเพื่อรับมือกับโรคระบาดนั้น มันบั่นทอนทั้งเรื่องของสภาพร่างกาย และสภาพจิตใจ การได้เจอกับการจากลา บวกกับการทำงานที่หนักหน่วง ทำให้เหนื่อยมากกว่าเดิมหลายเท่า

 

ภาพประกอบบทความ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา

 

ทางด้านคุณหมอก็เลยให้คำแนะนำว่าควรจะทำตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด ล้างมือบ่อยๆ สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก และเว้นระยะห่างทางสังคม ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามอย่าออกไปข้างนอกหากไม่จำเป็นจริงๆ

นอกจากนี้คุณหมอยังแนะนำให้ทุกคนไปฉีดวัคซีน เพราะเป็นทางรอดเดียวที่จะทำให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติได้

“การแพร่ระบาดของไวรัส และสถานการณ์โรคระบาดนั้นมันเกิดขึ้นจริงๆ ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม และทุกคนไม่ใช่แค่หมอพยาบาลที่อยู่หน้างาน ต่างก็มีส่วนร่วมช่วยกันยับยั้งในการแพร่ระบาดได้” คุณหมอกล่าวทิ้งท้าย

 

เรียบเรียงโดย #เหมียวหง่าว

ที่มา : timothylau_qs, worldofbuzz

Alan Walker โพสต์ภาพคู่เจ้าเหมียวสุดที่รัก ชาวเน็ตเมนต์กันใหญ่ แต่ “ทรงพระเจริญ”มาได้ยังไง?

$
0
0

ช่วงวันสองวันนี้ มีกระแสการแชร์ภาพของดีเจหนุ่มคนดังกำลังอุ้มแมว  ที่กำลังถูกเข้าใจผิดไปคนละทิศทาง

 

Alan Walker  ดีเจและโปรดิวเซอร์หนุ่ม ลงภาพบนอนสตาแกรมเป็นภาพตัวเองใส่ชุดสูทกำลังอุ้มเจ้าเหมียวแสนรัก พร้อมกับริบบิ้นผูกคอแมวสีสันสดใส

.

 

ภาพดังกล่าวบนอินสตาแกรมของเจ้าตัว มีแฟนคลับและเพื่อนในวงการเข้ามาคอมเมนต์กันอย่างล้นหลาม

แต่อย่างไรก็ตาม มีคนไทยบางส่วนนำภาพของเจ้าตัวมาลงในกลุ่มข่าวสาร แต่กลับพบว่ามีคอมเมนต์ที่น่าจะเข้าใจผิด โผล่ขึ้นมาอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น…

.

 

ซึ่งจากการประเมินแล้ว คาดว่าคอมเมนต์ของชาวเน็ตบางส่วนที่ออกมาในแนวนี้ อาจจะเป็นเพราะพวกเขาเข้าใจผิดหรืออย่างไร? ว่า Alan Walker เป็นราชวงศ์นอร์เวย์ ก็เลยคอมเมนต์อย่างนั้น

หรือมากไปกว่านั้นก็คือ อาจจะเข้าใจว่า Alan Walker เป็นราชวงศ์ไทย ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปอย่างมาก

 

 

ซึ่งที่ต้องเขียนข่าวนี้ แคทดั๊มบ์นำเสนอด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เพื่อเป็นการนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้อง ไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด  และนำไปสู่ความเสื่อมเสียต่อราชวงศ์ได้ในภายหลัง

เพราะที่จริงแล้ว Alan Walker เป็นดีเจและโปรดิวเซอร์เพลงชาวนอร์เวย์  ซึ่งซิงเกิลที่ทำให้เข้าเป็นที่รู้จักมากที่สุด ก็คือ Faded ในปี 2015 ซึ่งติดชาร์ตไปทั่วโลก

 

ส่วนธงที่ผูกคอเจ้าเหมียวของ Alan ที่หลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่าเป็นธงชาติไทยนั้น ในความเป็นจริงน่าจะเป็นสีธงชาติของนอร์เวย์ ประเทศบ้านเกิดของเขานั่นเอง

 

 

ธงชาตินอร์เวย์

 

และที่สำคัญ หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าพ่อหนุ่มดีเจคนดังวัย 23 ปีคนนี้  ก็เป็นทาสแมวตัวยงเลยล่ะ เขามักจะโพสต์ภาพคู่กับเจ้าเหมียวลงบนไอจีบ่อยๆ มีทั้งการกอด หอม  จนสาวๆ หลายคนอิจฉา

เจ้าเหมียวตัวนี้ เป็นพันธุ์ Ragdoll มีชื่อว่าเจ้า Peanut มันเพ่งเกิดมาเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วนี่เอง

 

.

.

 

ที่สำคัญน้องยังมีไอจีส่วนตัวด้วยนะ สำหรับใครที่เป็นเอฟซีผู้ชายแล้ว อยากจะเป็นเอฟซีแมวเขาอีก ก็ตามไปฟอลกันได้ที่ peanut_walker หรือคลิกเบาๆ ในภาพด้านล่างนี้เลย…

การหย่าร้างในจีนลดลงกว่า 72% หลังออกกฎใหม่ ให้คู่รักกลับไป “ไตร่ตรองอีกที”ใน 30 วัน

$
0
0

เพื่อนๆ บางคนอาจเคยได้ยินมาว่า ‘การหย่าร้าง’ ในประเทศจีนนั้นมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างมาก ยิ่งในช่วงของสถานการณ์โควิด-19 ด้วยแล้ว

จากสถิติพบว่าในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2020 มีการหย่าร้างเกิดขึ้นในจีนกว่า 612,000 ครั้ง และในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2020 ก็มีการหย่าร้างมากกว่า 1.06 ล้านครั้งเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก

 

 

และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ทางรัฐบาลจีนตัดสินใจออกข้อบังคับใหม่ขึ้นมา เพื่อลดจำนวนการหย่าร้างลงจากเดิม โดยมันถูกเรียกว่าเป็น “ช่วงของการสงบสติอารมณ์”

ข้อบังคับนี้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2021 ที่ผ่านมา ระบุให้คู่รักที่ต้องการจะหย่ากัน จำเป็นต้องรอการอนุมัติ 30 วัน ซึ่งช่วงเวลานั้นก็เป็นเหมือนช่วงที่ทำให้พวกเขาทั้งสองฝ่ายได้กลับไปคิดไตร่ตรองเรื่องนี้ให้ดีเสียก่อน

ในระหว่าง 30 วัน คู่รักสามารถยกเลิกการหย่าได้ทุกเมื่อ แต่หากยังคงตัดสินใจดังเดิม พอครบ 30 วันแล้วทางหน่วยงานก็จะอนุมัติยินยอมการยื่นเรื่องหย่าร้างของพวกเขา

 

 

วิธีการนี้อาจฟังดูเรียบง่าย แต่จากสถิติในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2021 พบว่า มีการหย่าร้างเกิดขึ้นเพียงแค่ 296,000 ครั้ง ซึ่งถือว่าลดลงมาจากช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีก่อนกว่า 52%

และหากเทียบ 3 เดือนแรกของปี 2021 กับช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2020 ก็พบว่าจำนวนตัวเลขนี้ลดลงมาจากเดิมมากถึง 72% เลยทีเดียว

 

 

ขณะเดียวกัน ข้อบังคับดังกล่าวก็กลายเป็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ของคนจำนวนหนึ่งที่มองว่า ข้อบังคับนี้เป็นเหมือนการขัดขวางสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล และทำให้คู่รักบางคู่ต้องทนกับชีวิตแต่งงานที่ไม่มีความสุขต่อไปถึง 1 เดือน

อย่างไรก็ตาม ก็ได้มีการออกมาชี้แจงว่า ข้อบังคับดังกล่าวเป็นเหมือนตัวช่วยที่ทำให้สังคมเป็นไปอย่างราบรื่น รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยป้องกันปัญหาอัตราการเพิ่มประชากรที่ลดลงจากเดิม

จากข้อมูลระบุว่า อัตราการเกิดที่ลดลง ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากการที่คู่รักหย่าร้างกัน และนั่นก็อาจกลายเป็นปัญหาระยะยาวที่ส่งผลกระทบต่อหลายๆ สิ่งใด

ก่อนหน้านี้ถึงกับเคยมีหน่วยงานที่สนับสนุนให้เหล่าคู่รักมีลูกหลายๆ คน เพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหาข้างต้นมาแล้ว

 

 

เรียบเรียงโดย #เหมียวตะปู

ที่มา: CNN , ABC7 , Independent

คู่รักโซเดมาคอมสุดร้อนแรงที่โรงแรม เช้ามาโดนโทรคอมเพลน เพิ่งรู้ว่าหน้าต่างใสกิ๊งเห็นหมดเลย

$
0
0

บางครั้งการมีเซ็กส์ที่อื่น นอกจากที่บ้าน เช่นที่โรงแรม ก็อาจจะต้องเช็กดูให้ดีก่อนว่าที่ห้องของโรงแรมนั้นมีสภาพเป็นอย่างไร เพราะไม่เช่นนั้น คุณอาจจะเจอแบบเหตุการณ์ต่อไปนี้ก็ได้

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา ผู้ใช้ TikTok รายหนึ่ง ชื่อว่า Rebekka โพสต์เล่าประสบการณ์ หลังจากที่มีเซ็กส์กันอย่างร้อนแรงที่โรงแรมดังในเมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์

 

 

แต่เช้ามาดันโดนพนักงานโทรมาแจ้งการคอมเพลน ว่าการมีเซ็กส์ของเธอไปรบกวนผู้อื่น พอมาเช็กดูดีๆ ก็พบว่าหน้าต่างห้องที่เธอพักอาศัยอยู่นั้นมันไม่ได้มีการติดฟิล์ม

 

 

เท่ากับว่าทุกคนจะเห็นทั้งสองคนทำกิจกรรมเข้าจังหวะกันได้แบบเต็มๆ จากด้านนอก

ตามรายงานของเว็บไซต์ DailyMail ระบุว่าทั้งสองคนเข้าพักที่โรงแรมชื่อว่า Radisson Red ในกรุงกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์

 

สภาพหน้าตาของโรงแรมมันก็จะประมาณนี้ (แต่ไม่ทราบว่าทั้งสองคนพักอยู่ฝั่งไหน)

 

ซึ่งคืนก่อนหน้านี้ทั้งคู่ก็จัดกิจกรรมเข้าจังหวะกันแบบชนิดที่ว่าร้อนแรงสุดๆ แบบปิดหน้าต่างเอาไว้ แต่ไม่ได้ปิดผ้าม่าน

พอเช้ามาเจ้าหน้าที่ได้โทรมาแจ้งเรื่องการคอมเพลนจากลูกค้าท่านอื่น พร้อมกับข้อความประมาณว่า “มีแขกท่านอื่นโทรมาแจ้ง และแนะนำว่าคุณควรจะปิดผ้าม่านก่อนทำกิจกรรมเข้าจังหวะกันด้วยนะครับ”

 

 

“ตามนโยบายของโรงแรมเรา ไม่ได้สนใจว่าลูกค้าจะทำกิจกรรมอะไรกัน แต่เราอยากจะแจ้งให้ทราบว่ากระจกของทางโรงแรมเรา ไม่ได้ทำการติดฟิล์มเอาไว้ เพราะฉะนั้นควรจะทำการปิดผ้าม่านให้เรียบร้อย”

ระหว่างที่มีการคอมเพลนกันสาว Rebekka ก็ได้ทำการถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้ด้วย พร้อมกับพูดในคลิปว่า “อย่าบอกนะว่า….”

 

คลิปวิดีโอดังกล่าว

@rebekkamccabe

Word to the wise, a very popular hotel in glasgow DOES NOT have tinted windows xxx

♬ original sound – Rebekka Mccabe

 

ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเอาคลิปวิดีโอดังกล่าวไปอัปโหลดลงบน TikTok และไม่นานมันก็กลายเป็นกระแสไวรัลที่ได้รับความสนใจมากมาย

ชาวเน็ตหลายคนต่างก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันไปต่างๆ นานา ลองไปอ่านความเห็นของชาวเน็ตดูครับ…

 

“โอ้พระเจ้า มันน่าตกใจจริงๆ”

“คนที่จำเลขห้อง เพื่อโทรมาคอมเพลนได้เนี่ย มันคงจะต้องนั่งจ้องดูอยู่นานพอสมควรเลยนะ”

“ผมทำงานอยู่ตรงข้ามกับโรงแรมนี้ และเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์”

 

เรียบเรียงโดย #เหมียวหง่าว

ที่มา : dailymail, rebekkamccabe


ศาลมาเลเซียสั่งประหารพ่อแม่สุดโหด หลังใช้ไม้เรียวฟาดลูกชายวัย 8 ขวบจนถึงแก่ชีวิต

$
0
0

นับว่าเป็นอีกข่าวจากคดีสุดสะเทือนใจซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากผู้คนในประเทศมาเลเซียไปแล้ว

เมื่อวันที่ วันที่ 21 พฤษภาคม 2021 ที่ผ่านมา สำนักข่าวในประเทศหลายสำนักได้รายงานเรื่องราวของคู่สามีภรรยาคู่หนึ่ง ซึ่งเพิ่งถูกตัดสินโทษประหารชีวิต จากความผิดฐานฆาตกรรมลูกชายของตัวเอง ด้วยการใช้ไม้เรียวฟาดจนถึงแก่ความตาย

 

 

เรื่องราวในครั้งนี้มีจุดเริ่มต้นขึ้น ในวันที่ 26 พฤษภาคม ปี 2017 ในเมืองชะฮ์อาลัม รัฐเซอลาโงร์ ประเทศมาเลเซีย

เมื่อเด็กชาย Adrian Teoh Wai Kit วัย 8 ขวบ ลูกชายคนโตของนาย Aaron Teoh Eng Wan (37) และนาง En Sit Mooi (40) ถูกพบเป็นศพ ในสภาพร่างกายบอบช้ำรุนแรง จากการที่เด็กถูกพ่อแม่ของตัวเองทุบตีอย่างต่อเนื่องด้วยไม้คนละอัน

 

จากการชันสูตรพลิกศพทางเจ้าหน้าที่ได้พบว่านอกจากบาดแผลการจากถูกตีในที่เกิดเหตุแล้ว

บนร่างของ Adrian ยังมีร่องรอยการถูกทำร้ายมาหลายครั้งก่อนหน้า ร่องรอยของกระดูกซี่โครงหัก และร่องรอยของภาวะตกเลือดใต้ผิวหนังกับกล้ามเนื้อซึ่งทางแพทย์คาดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเสียชีวิตด้วย

 

 

แน่นอนว่าหลังจากเกิดเหตุ พ่อแม่ของเด็กก็ถูกทางตำรวจเข้าจับกุมทันที โดยในการสู้คดีในชั้นศาล ทางโจทก์จะมีการนำตัวพยานผู้เห็นเหตุการณ์อีกกว่า 28 ชีวิตมาแสดงตนในศาล

ในขณะที่ทนายของสามี-ภรรยาที่ถูกจับ เรียกร้องให้พาตัวยายและป้าของเด็กชายมาเป็นพยาน เพื่อบอกว่า เด็กชายอาจจะได้รับบาดเจ็บจากคนอื่น ที่ไม่ใช่พ่อและแม่เขาเอง

อย่างไรก็ตามเรื่องในจุดนี้ได้ถูกปัดตกไปจาก การที่ตำรวจพบ DNA ของเด็กติดอยู่บนไม้ที่พ่อแม่ของเขาใช้อย่างชัดเจน แถมในกล้องวงจรปิดจากที่เกิดเหตุ เรายังสามารถเห็นได้อีกว่า เด็กคนนี้ถูกผู้เป็นแม่ลากไปกับพื้นอยู่หลายต่อหลายครั้ง

 

 

แน่นอนว่าด้วยหลักฐานที่ค่อนข้างชัดเจนในวันที่ 21 พฤษภาคม ที่ผ่านมา หลังจากการสู้คดีดำเนินไปเกือบ 4 ปี ในที่สุด ศาลก็ได้ตัดสินให้นาย Aaron และนาง En  มีความผิดจริงจนได้

และโทษที่ทั้งสองจะได้รับก็รุนแรงถึงขั้นประหารชีวิต สร้างความตกใจเป็นอย่างมากให้กับผู้ต้องหาทั้งคู่ ถึงขนาดที่ทั้งคู่หลุดน้ำตาร้องไห้ออกมาเลยทีเดียว

 

ที่มา kapooknst และ says

เซ็กซี่ไม่มีแผ่ว! อัปเดตความแจ่มแมว “ชิน แจ-อึน”สาวงามเอวบาง หน้าละอ่อน ที่ครองใจหนุ่มๆ

$
0
0

เรียกได้ว่ายังคงทวีความเซ็กซี่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับนางแบบสาวจากแดนโสม ผู้มีใบหน้าอันบ๊องแบ๊วน่ารักน่าหยิก และรูปร่างอันทรงเสน่ห์

 

เรากำลังพูดถึงสาวสวย “ชิน แจ-อึน” นั่นเองจ้า

.

 

‘ชิน แจ-อึน’ (신재은) อาจเป็นชื่อที่เพื่อนๆ หลายคนยังคงจดจำกันได้จากคอนเทนต์ที่ #เหมียวตะปู เคยพูดถึงเธอเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา ด้วยความน่ารักที่ดูอ่อนกว่าวัย และรูปร่างที่น่าจะเรียกได้ว่าเพอร์เฟกต์

แม้ว่าเธอจะเพิ่งเป็นนางแบบเต็มตัวมาได้ราวๆ 3 ปี (เริ่มเข้าวงการในปี 2018) แต่เธอคนนี้ก็เรียกได้ว่ามีผลงานถ่ายแบบออกมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ชนิดที่ว่าไม่มีแผ่วไม่มีพักกันเลยล่ะนะ

 

งานถ่ายแบบของเธอส่วนใหญ่ก็เป็นแนวเซ็กซี่ซะด้วยสิ

 

แถมเธอยังเป็น “ไอคอนแห่งวงการ E-Sports เกาหลีใต้”

 

จากการที่เธอเป็นพรีเซนเตอร์ให้เกมต่างๆ มากมาย

 

และยังเคยเป็นต้นแบบให้กับตัวละครในเกมมาแล้วด้วย

 

ในช่วงระยะเวลาเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ที่ #เหมียวตะปู พูดถึงเธอในครั้งแรก ก็เรียกได้ว่าความเซ็กซี่ของเธอไม่มีตกหล่นเลยแม้แต่นิดเดียว หรืออาจเรียกได้ว่าเธอไปเพิ่มดาเมจมาให้รุนแรงขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

พูดมาขนาดนี้ คงต้องมีภาพพิสูจน์! ว่าแล้วเราก็ไปชมภาพอัปเดตความเซ็กซี่ของนางแบบสาวคนนี้พร้อมๆ กันเลยจ้า

 

น่ารักเซ็กซี่ไม่มีแผ่ว!!

.

.

 

หลายคนบอกว่าใบหน้าของเธอดูอ่อนกว่าวัยมากกก

.

 

เพราะจากข้อมูลของสื่อเกาหลีบอกว่า ปีนี้เธอกำลังจะอายุ 30 แล้ว

.

 

แต่ใบหน้าของเธอยังเหมือนเด็กมัธยมอยู่เลย

.

 

ในส่วนของทรวดทรงก็คงไม่ต้องพูดอะไรมาก ให้ภาพเป็นตัวพิสูจน์

.

.

 

ความเซ็กซี่ + ความน่ารัก ตรงสเปคหนุ่มๆ หลายๆ คน

.

.

 

ไม่มีแผ่วซะขนาดนี้ เพื่อนๆ ก็สามารถเข้าไปติดตามชมความมีเสน่ห์ของ ชิน แจ-อึน กันต่อได้ที่อินสตาแกรม zennyrt ที่ปัจจุบันมีผู้ติดตามกว่า 2.3 ล้านคน! (มากขึ้นจากปีก่อนที่ #เหมียวตะปู บอกไปว่ามี 1.9 ล้านคน)

รวมถึงแชนแนลยูทูบของเธอที่ชื่อว่า Zennyrt 신재은 ก็เผยให้เห็นถึงเสน่ห์อันน่าหลงใหลได้ไม่แพ้กันเลยนะ

นอกจากนี้ เพื่อนๆ ยังสามารถย้อนไปอ่านบทความเก่าเมื่อปีก่อนได้ที่ลิงก์: “ชิน แจ-อึน” ไอคอนแห่งวงการ E-Sports แดนกิมจิ สดใส ซาบซ่า น่ารัก ชักจะไม่ไหวแล้วนะ!!

 

 

เรียบเรียงโดย #เหมียวตะปู

รู้จัก Alan Walker ดีเจ-โปรดิวเซอร์ดังระดับโลก  ผู้กลายมาเป็นทาสแมว

$
0
0

หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าพ่อหนุ่มคนในภาพ มีอายุเพียง 23 ปีเท่านั้น

 

 

Alan Walker เกิดในปี 1997 ที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ด้วยความที่เขามีแม่เป็นชาวนอร์เวย์ จึงได้รับสองสัญชาติ แล้วพอวัยเด็ก ก็ย้ายไปอยู่นอร์เวย์ในที่สุด

เด็กน้อย Alan มีความสนใจโปรแกรมคอมพิวเตอร์  และการทำงานด้านกราฟิกตั้งแต่เด็ก

และถึงแม้จะไม่มีความรู้ด้านดนตรีเลย แต่เขาก็หลงใหลในดนตรี EDM ไม่น้อย ถึงขั้นที่ศึกษาด้วยตัวเองผ่านยูทูบ เว็บไซต์วิดีโอที่กำลังเริ่มได้รับความนิยมในตอนนั้น จนสามารถทำเพลงได้

 

จุดสำคัญในชีวิตมาถึงเมื่อวัยเพียง 17 ปี เขาปล่อยแทร็ก Fade ลงยูทูบ ก่อนที่มันจะกลายมาเป็นซิงเกิลพร้อมเสียงร้องในชื่อ Faded ที่ออกมาในปลายปี 2015

นั่นคือเพลงที่เรียกได้ว่า “เปลี่ยนชีวิต” ของเด็กวัยรุ่นชาวนอร์เวย์คนนี้ เพราะเพลงนี้ติดกระแสทันทีในยุโรปทั้งสวีเดน  เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และติดท็อปชาร์ตอีกกว่า 33 ประเทศ

ทำให้เขากลายมาเป็นคนมีชื่อเสียง และตัดสินใจไม่เรียนต่อ เดินหน้าอาชีพด้านดนตรีอย่างเต็มตัว

 

ปัจจุบัน ช่องยูทูบของเขามีผู้ติดตามกว่า 39 ล้านคน ซึ่งนั่นเป็นตัวเลขมากที่สุดของช่องยูทูบสัญชาตินอร์เวย์ พร้อมกับยอดวิวกว่า 10,000 ล้านครั้ง

นำโดยเพลงยอดฮิต Faded 3,000 ล้านครั้ง Alone 1,100 ล้านครั้ง และ Spectre 900 ล้านครั้ง

 

ที่สำคัญ.. พ่อหนุ่มคนดังกล่าวเพิ่งได้รับแมวแร็กดอลมาเลี้ยง เมื่อเดือนตุลาคม 2020 ที่ผ่านมา เขาตั้งชื่อมันว่า Peanut และดูเหมือนว่าทั้งเจ้าตัวและแฟนสาว จะติดมันอย่างหนัก จนกลายเป็นทาสแมวเข้าแล้วล่ะ

 

.

 

ติดตาม Alan Walker ได้ที่ https://www.youtube.com/channel/UCJrOtniJ0-NWz37R30urifQ

ติดตามแมว Peanut ได้ที่ https://www.instagram.com/peanut_walker/

ภาพล่าสุดของพี่ Mark Wahlberg กับลุคลุงอ้วนลงพุงในหนังเรื่องใหม่ แทบจำไม่ได้!!

$
0
0

ว่ากันด้วยเรื่องของวงการภาพยนตร์ บางครั้งนักแสดงทั้งหลายต้องทุ่มเทเปลี่ยนแปลงร่างกายของตัวเองเพื่อรับบทบาทต่างๆ

เช่นการลดน้ำหนัก การเพิ่มกล้าม หรือแม้แต่เพิ่มน้ำหนักให้อ้วนลงพุงก็สามารถทำได้

วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปชมภาพล่าสุดของพี่ Mark Wahlberg ที่อยู่ๆ ก็กลายเป็นลุงอ้วนลงพุง ในการถ่ายทำหนังเรื่องใหม่

 

 

ซึ่งหนังเรื่องดังกล่าวนั้นมีชื่อว่า Father Stu ซึ่งพี่ Mark จะต้องรับบทเป็นหลวงพ่อ Stuart Long อดีตนักมวยรุ่นเฮฟวี่เวทที่ปัจจุบันผันตัวกลายมาเป็นบาทหลวง

ในการรับบทนี้ทำให้เขาต้องเพิ่มน้ำหนักตัวเองขึ้นมาราวๆ 9 กิโลกรัมแบบไม่มีกล้ามเนื้อ และจากภาพล่าสุดจากสถานที่ถ่ายทำที่บนถนนแห่งหนึ่งในนครลอสแอนเจลิส

พบว่าเขาตัดผมเป็นทรงเกรียน อีกทั้งยังต้องเสริมคางเทียม เพื่อทำให้ใบหน้าของเขาดูเต็มขึ้นมาด้วย

 

 

ก่อนหน้านี้พี่ Mark ให้สัมภาษณ์ว่า จากการเพิ่มน้ำหนักขึ้นมา 9 กิโลกรัม เขามีเวลาแค่ไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น

“คือในหนังเรื่องนี้ ผมต้องสวมบทบาทเป็นทั้งนักมวย ที่มีกล้ามเต็มตัว หลังจากที่ถ่ายซีชกมวยจนหมดแล้ว ผมก็ต้องทำการเพิ่มน้ำหนักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

“เพื่อมาถ่ายบทหลวงพ่อต่อ ผมเลยพยายามท้าทายตัวเอง ว่าจะเพิ่ม 14 กิโลกรัมภายใน 6 สัปดาห์”

“ผมพยายามที่จะลองวิธีที่ดีต่อสุขภาพที่ดีที่สุดนะ แต่พอทำไปได้สักพัก ผมก็ทำได้แค่กินทุกอย่างที่ขวางหน้า”

“ผมไปที่ร้านของหวาน กินแพนเค้กมื้อละหลายๆ ชิ้น น้ำหวานต่างๆ ผมกินมันหมดทุกอย่าง รวมๆ แล้วผมต้องบริโภคพลังงานเข้าไปวันละเกือบ 7,000 แคลอรีเลยทีเดียว”

 

สำหรับคนที่อยากเห็นภาพความแตกต่าง ก่อนและหลังการเพิ่มน้ำหนักของพี่ Mark ก็ตามนี้เลย 2 ภาพนี้ห่างกันราวๆ 6 สัปดาห์เท่านั้น

 

ก่อน

 

หลัง

 

แหม่ เรียกได้ว่าทุ่มเทกับการแสดงจริงๆ เพราะการเพิ่มน้ำหนักเนี่ย มันต้องมีวินัยกับการกินด้วยนะ พูดเป็นเล่นไป

 

เรียบเรียงโดย #เหมียวหง่าว

ที่มา : ladbible, eonline

ชาวเน็ตแชร์ 10 ประสบการณ์ “คำถามที่ทำให้คุณใจสลาย”เมื่อคำพูดสั้นๆ มีอะไรแฝงไว้กว่าที่คิด

$
0
0

ว่ากันว่าคำพูดของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่าอาวุธใดๆ เพราะต่อให้เราเชื่อว่าตัวเองเป็นคนที่ใจแข็งแค่ไหน ในบางครั้งคำพูดสั้นๆ เพียงคำเดียวก็อาจจะทำให้เราจิตใจแหลกสลายได้เลย

ดังนั้นในตอนที่มีผู้ใช้ Reddit ออกมาถามถึงประสบการณ์ “คำถามที่คนอื่นเคยถามคุณและทำให้คุณแอบใจสลาย” ต่อโลกออนไลน์ กระทู้ของเขาจึงกลายเป็นกระทู้ดังที่มีคนเข้าไปแบ่งปันประสบการณ์ได้ไม่ยาก

และประสบการณ์ที่พวกเขาเอามาเล่าให้ฟังเอง มันก็เป็นตัวอย่างที่ดีเลยว่าทำไมบางครั้ง คำพูดสั้นๆ ถึง ช่วยเหลือ ทำลาย หรือเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ทั้งคนเลย

 

 

1. เรามาเริ่มกันจากเรื่องเล่าของคุณ justsomerandomyguy

ผมเคยถูกแฟนคนแรกของผมถามว่า

“เธอไม่เคยทุบตีฉัน หรือบอกว่าฉันห้ามทำอะไรเลย… นี่เป็นเรื่องปกติหรือเปล่า?”

บอกเลยว่าผมไม่เคยรู้สึกถึงความโกรธแทนคนอื่น ความเศร้า และความเสียใจพร้อมกันขนาดนี้มาก่อนเลย

 

 

2. เรื่องเล่าของคุณ ape-with-keyboard

ฉันเป็นคนพูดติดอ่าง… เมื่อฉันยังเป็นเด็ก ฉันเคยต้องอ่านหนังสือในชั้นเรียน ตอนนั้นฉันพูดติดอ่างแล้วครูก็พูดว่า “นี่เธออ่านหนังสือออกรึเปล่า?” เธอทำให้หัวใจน้อยๆ ของเด็ก 13 คนนี้ต้องแหลกสลาย…

ไม่มีใครคิดจะทำความเข้าใจคนพูดติดอ่างอย่างจริงจังเลย

 

 

3. เรื่องเล่าของคุณ TheCurls

ครั้งหนึ่งตอนที่เราเดินผ่านร้านของเล่น ลูกสาวได้หันมาฉันถามว่า

“หนูรู้ว่าตอนนี้เราไม่มีเงินมากนัก แต่ตอนที่เรามีเงิน เราจะกลับมาที่นี่แล้วซื้อของเล่นให้หนูได้ไหม?”

ตอนนั้นฉันกำลังมีปัญหาเรื่องเงิน และลูกสาวของฉันก็ทำให้ฉันน้ำตาไหลกลางห้างเลย

 

 

4. เรื่องเล่าของคุณ TheCurls

ตอนนั้นมันเป็น วันแรกของการเรียนอนุบาลสำหรับคุณลูกชายวัย 3 ขวบของเรา และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาจะถูกปล่อยให้อยู่ห่างจากคนเป็นพ่อแม่เป็นเวลานานด้วย

ในตอนแรกฉันพาเขาไปถึงห้องเรียนและเดามาลูกคงจะร้องไห้แน่ๆ แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้นลูกกลับเดินเข้าไปในห้องเรียนแบบมั่นใจสุดๆ

แถมสามชั่วโมงต่อมาตอนฉันไปรับเขา เขาก็ดูโอเคทุกอย่างกระทั่งเราไปถึงรถ เมื่อเขาพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ว่า

“ผมคิดว่าแม่จะมาด้วยเสียอีก” แล้วพูดด้วยเสียงที่เบากว่าเดิมอีกว่า “ทำไมแม่ถึงทิ้งผมไป”

 

 

5. เรื่องเล่าของคุณ Veganmon

ตอนผมเรียนประถมเรามีการจัดแสดงความสามารถในโรงเรียน และพ่อแม่ทุกคนก็มานั่งรอชมลูกกันหมด ยกเว้นแต่พ่อแม่ของผม ในตอนนั้นเพื่อนร่วมห้องเขามาถามว่าพ่อแม่นายหายไปไหน และพอผมยักไหล่ตอบเขาก็พูดต่อว่า

“นี่ไม่มีใครรักนายเลยเหรอ?”

คำพูดของเขาทำให้ผมต้องแอบหนีไปร้องไห้ในห้องน้ำคนเดียว เพราะผมรู้ว่าเขาพูดถูกทุกอย่าง… ใช่.. มันไม่มีใครรักผม ผมแค่พยายามเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ และผมก็กลัวมากว่าทุกคนที่โรงเรียนจะรู้สักวัน

 

 

6. เรื่องเล่าของคุณ steeple_fun

เมื่อตอนที่ฉันกำลังทำงานในสถานบำบัดยาเสพติดเด็กและเยาวชน มีเด็กอายุ 12 ถามฉันว่า “ทำไมทุกคนถึงมีปัญหากับแฟนของเธอ…” ซึ่งเขาอายุ 32 ปี

ดูเหมือนว่าเธอจะผ่านการถูกทำร้ายและทารุณกรรมมานานมาก จนเธอไม่สามารถทำความเข้าใจปัญหาที่ทุกคนมีต่อความสัมพันธ์ของพวกเธอได้อีกต่อไปแล้ว…

 

 

7. เรื่องเล่าของคุณ scar-shiraya

ป้าของผมเคยถามผมว่า “จะร้องไห้ทำไมเหรอ หลานเป็นลูกผู้ชายไม่ใช่หรือไง?” 

ในตอนนั้นผมร้องไห้เพราะหลานสาวอายุ 2 ขวบของผมได้รับแผลไฟไหม้ระดับ 2 และผมได้ยินเสียงกรีดร้องของเธอจากห้องทำงานของหมอที่ดูแลอาการของเธอ

 

 

8. เรื่องเล่าของคุณ NotAPunishment

ครั้งหนึ่งตอนที่ฉันสามารถหนีจากความสัมพันธ์อันทารุณ หลังจากต้องอยู่กับแฟนที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่มาหลายปีได้ แม่ของฉันกลับเดินมาบอกฉันว่า

“เธอเป็นคนประเภทที่หาคนมารักยากนะ และคงไม่มีใครคนอื่นมารักเธอแล้ว… นี่เธอคิดจริงๆ เหรอว่าเธอควรได้รับอะไรที่มันดีกว่านี้”

 

 

9. เรื่องเล่าของคุณ PrometheusAborted

ในตอนที่ฉันอายุได้ 22 และกำลังไปซื้อเบียร์สำหรับปาร์ตี้ใน Walmart ตอนสี่ทุ่ม ฉันเจอเด็กคนหนึ่งพยายามจะยกลังเบียร์ให้ได้อยู่คนเดียว

เขาอายุแค่ราวๆ 5 ขวบและตอนแรกฉันก็คิดแค่ว่าการกระทำของเขาน่ารักดี อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปฉันก็ยังไม่เห็นใครมาสนใจเขา และผู้ปกครองของเจ้าหนูก็ไม่โผล่มาสักที ฉันก็เลยตัดสินใจเดินไปถามเจ้าหนูน้อยว่าเกิดอะไรขึ้น

ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจคำถามของฉันเลยด้วยซ้ำ กลับกันเขากลับสนใจที่ฉันแบกเบียร์สองลังสบายๆ มากกว่าด้วยซ้ำ มันเลยเป็นโชคดีมากที่ในที่สุดพนักงานใกล้ๆ ก็เข้ามาดูเรื่องที่เกิดขึ้น

ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้พนักงานคนนั้นฟังและเธอก็บอกว่าเธอจะพาเจ้าหนูกลับไปหาแม่เอง ซึ่งน่าแปลกที่ตอนที่เราลาจากกันจู่ๆ เจ้าหนูก็หยุดเดินและบอกฉันว่า “ขอผมกลับบ้านกับคุณได้ไหม? ผมไม่ชอบแม่เลย”

ในตอนนั้นฉันไม่ทันตั้งตัวกับคำถามของเขาเลยได้แต่หัวเราะและบอกว่าตามพี่หนักงานไปนะ แต่พอมาคิดทีหลังคำพูดของเด็กคนนั้นมันฟังดูมีอะไรแปลกๆ นะ

แน่นอนว่าฉันไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด ดังนั้นนี่อาจเป็นแค่การคิดไปเอง แต่เด็กคนนั้นหลงกับพอแม่ใน Walmart ตอนกลางคืนที่แทบไม่มีผู้คน แถมแทนที่จะห่วงว่าแม่หายไปไหนเขากลับเลือกที่จะกลับบ้านกับคนแปลกหน้ามากกว่า

ไม่แน่ว่าเด็กคนนั้นอาจจะมีชีวิตที่เลวร้ายกว่าที่ฉันคิด และความรู้สึกที่ตามมาก็ทำให้ฉันแทบใจสลายเลย

 

 

10. เรื่องเล่าของคุณ HiBrucke6

พ่อของฉันทำงานอยู่ในชุมชนชาวญี่ปุ่นในท้องถิ่น โดยรับหน้าที่ช่วยเหลือผู้อพยพใหม่จากญี่ปุ่นให้เคยชินกับการใช้ชีวิตในฮาวายด้วยการพาพวกเขาไปชมสถานที่ต่างๆ

ในตอนที่สงครามโลกครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้นเขาเลยถูกจับเพราะเรื่องนี้ และถูกคุมขังเป็นเวลา 5 ปี

เพราะอย่างนั้นในตอนที่ผมเรียนชั้นประถม ครูของเราจึงเคยถามผมต่อหน้าคนทั้งชั้นว่า

“รู้สึกอย่างไรที่ได้เป็นลูกชายของคนทรยศต่อสหรัฐฯ?”

 

 

ที่มา boredpanda และ reddit

30 ภาพเบื้องหลังซีรีส์-หนังดัง “ก่อนใส่ CG”กับ “หลังใส่ CG”ต่างกันมากขนาดไหนหนอ?!

$
0
0

ปัจจุบัน คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะมีการใช้ CG หรือสเปเชียลเอฟเฟกต์ต่างๆ ในภาพยนตร์หรือซีรีส์ แต่เพื่อนๆ เคยสงสัยกันมั้ยว่า พวกเขาใช้ CG ในฉากไหนบ้าง? และก่อนที่จะใส่ CG เข้าไปนั้น เบื้องหลังมันเป็นอย่างไร?

เชื่อว่าภาพทั้งหมดนี้น่าจะพอคลายความสงสัยให้กันได้บ้าง เพราะนี่คือภาพเบื้องหลังที่มีการเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ เลยว่า ระหว่าง “่ก่อนใส่ CG” กับ “หลังใส่ CG” มันมีความแตกต่างกันมากขนาดไหน ว่าแล้วเราก็ลองไปชมพร้อมๆ กันเลยยย

 

Game Of Thrones

.

.

.

 

Mad Max: Fury Road

.

.

.

 

Life of Pi

.

 

The Hobbit

.

 

Alice in Wonderland

.

 

Guardians of The Galaxy

 

Pirates of The Caribbean

 

Twilight Saga: Eclipse

 

The Dark Knight

 

Boardwalk Empire

 

The Great Gatsby

 

The Matrix

 

X-Men: Days of Future Past

 

The Wolf Of Wall Street

 

The Lord of The Rings

 

The Avengers

 

The Chronicles Of Narnia: The Voyage Of The Dawn Treader

 

The Walking Dead

 

Rise Of The Planet Of The Apes

 

Gravity

 

The Homesman

 

เรียบเรียงโดย #เหมียวตะปู

ที่มา: DesignYouTrust

เรื่องนี้ต้องถึง’จารย์!! นักศึกษาวิศวะ คิดค้น “ดวงตาที่สาม”ช่วยมองทาง ตอนก้มหน้าเล่นโทรศัพท์

$
0
0

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายุคปัจจุบันนี้ “การเล่นโทรศัพท์มือถือ” กลายเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ใครหลายๆ คนชื่นชอบ และทำมันอยู่ตลอดเวลา

ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเรียน ทำงาน เข้าห้องน้ำ หรือแม้ต่อตอนเดินอยู่ในที่สาธารณะ ซึ่งอย่างหลังสุดนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ เพราะหากก้มหน้าเล่นแต่โทรศัพท์ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายได้

ด้วยเหตุนี้ทางด้านนักศึกษาวิชาการออกแบบทางวิศวกรรม จากมหาวิทยาลัย Royal College จึงได้ออกไอเดียสร้างอุปกรณ์ที่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ขึ้นมา!!

ผลงานการออกแบบนี้เป็นของนักศึกษาชื่อว่า Minwook Paeng เป็นอุปกรณ์ที่คล้ายกับ “ดวงตาดวงที่สาม” ติดอยู่บนหน้าผาก

 

 

เจ้าอุปกรณ์ตัวนี้จะช่วยแก้ปัญหาตอนที่คุณก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือ ระหว่างที่เดินไปด้วย โดยมันจะทำหน้าที่ในการตรวจกับสิ่งกีดขวางที่อยู่หน้าด้าน ขณะที่สายตาของคุณจับจ้องไปที่หน้าจอของโทรศัพท์มือถือ

เมื่อเจอกับสิ่งกีดขวางมันจะส่งเสียงเตือน เพื่อให้คุณเงยหน้าขึ้นมามอง และหลบได้ทันเวลา ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ

 

ลองไปชมคลิปวิดีโอสาธิตการใช้งานได้ที่นี่

 

คุณจะต้องสวมเจ้าดวงตาที่สามนี้ไว้บนหน้าผากของคุณ ซึ่งลักษณะของมันจะคล้ายกับดวงตาอีกดวงหนึ่ง ข้างในจะมีอุปกรณ์ตรวจจับอัลตราโซนิค

ที่นอกจากจะตรวจสอบสิ่งกีดขวางได้แล้ว ยังสามารถคำนวณระยะทางจากสิ่งกีดขวาง และเตือนภัยเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุได้ทันเวลา

 

 

“อุปกรณ์สีดำที่ดูเหมือนกับลูกตาดำนี้ คืออัลตราโซนิคเซ็นเซอร์ ที่จะทำการตรวจจับระยะทาง จากวัตถุที่อยู่ด้านหนา เมื่อมันเข้าใกล้กับวัตถุ หรือสิ่งกีดขวางก็จะส่งเสียงเตือนออกมา” Minwook กล่าว

อย่างไรก็ตาม Minwook กล่าวถึงไอเดียของเขาว่า วิธีการแก้ปัญหาการเกิดอุบัติเหตุจากการเล่นโทรศัพท์ระหว่างเดินในที่สาธารณะก็คือ การไม่เล่นมัน

 

 

แต่การทำโปรเจกต์นี้ขึ้นมา มันมีเหตุผลมากกว่านั้น เขาต้องการที่จะทำให้ผู้คนตระหนักถึงการเล่นโทรศัพท์มือถือ ว่าควรเล่นแต่พอประมาณ

และไม่ควรทำให้ตัวเองไปอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อให้คนไม่ต้องใช้งานมันคงจะเป็นเรื่องที่ตอบโจทย์มากที่สุด

 

แหม่ แบบนี้ต้องส่งให้จารย์ Khabby Lame จัดการแล้วล่ะ 5555

 

เรียบเรียงโดย #เหมียวหง่าว

ที่มา : unilad, Dezeen


ปู่วัย 82 ปีจิตตกหนัก โรงพยาบาลออสเตรีย “ตัดขาผิดข้าง”จนสุดท้ายต้องเสียขาไปทั้งคู่

$
0
0

ถือว่ากำลังเป็นอีกหนึ่งข่าวที่กำลังสร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์และกำลังเป็นที่จับตามองของประเทศออสเตรียไปแล้ว

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2021 ที่ผ่านมา สำนักข่าวหลายสำนักได้รายงานเรื่องราวความผิดพลาดครั้งใหญ่ของทีมแพทย์ในประเทศ หลังจากที่พวกเขาตัดขาของชายสูงวัยคนหนึ่งผิดข้างโดยไม่ตั้งใจเสียอย่างนั้น

 

 

เหตุการณ์ในครั้งนี้ ถูกรายงานว่าเกิดขึ้นที่ เกิดขึ้นที่โรงพยาบาล Freistadt Clinic ในช่วงกลางเดือน พฤษภาคม  เมื่อโรงพยาบาลมีกำหนดการรักษาคนไข้วัย 82 ปีรายหนึ่ง ซึ่งเข้ามารักษา อาการเจ็บปวดตามร่างกายหลายส่วน

ในเวลานั้นทีมแพทย์ได้วินิจฉัยว่าขาข้างซ้ายของเขา ได้เสียหายจนจำเป็นต้องตัดทิ้งเพื่อรักษาชีวิตของเจ้าตัว ซึ่งแม้จะต้องทำใจอยู่บ้างแต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ตกลงเข้ารับการผ่าตัดด้วยดี

อย่างไรก็ตามในช่วงเช้าของวันที่ 20 พฤษภาคม ชายคนนี้กลับต้องพบกับความเจ็บปวดอีกครั้ง เมื่อเขาตื่นขึ้นมาหลังจากการผ่าตัด และพบว่าขาข้างที่หายไปของตัวเองคือขาข้างขวา ไม่ใช่ข้างซ้ายที่มีโรคร้ายอยู่!!

 

 

อ้างอิงจากทางโรงพยาบาล Freistadt Clinic พวกเขาได้ออกมาประกาศผ่านแถลงการณ์ว่าความผิดพลาดในครั้งนี้ เกิดขึ้นจาก “สถานการณ์ที่โชคร้ายหลายลำดับ” ซึ่งทำให้พยาบาลทำเครื่องหมายขาที่ต้องตัดผิดข้างไป

โดยเรื่องที่เกิดขึ้นนี้แน่นอนว่าต้องทำให้คนไข้ และครอบครัวต้องเจ็บปวด และสะเทือนใจเป็นอย่างมาก เพราะแม้จะเกิดความผิดพลาดนี้ขึ้น สุดท้ายคนไข้ก็จะต้องเข้ารับการผ่าตัดเอาขาอีกข้างออกอีกครั้งอยู่ดี

ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาจะต้องเสียขาทั้งสองข้างไปในเวลาใกล้เคียงกันเลย

 

 

ดังนั้นเพื่อที่จะเยียวยาจิตใจของคนไข้แม้สักนิด ทางโรงพยาบาลจึงได้แจ้งครอบครัวของคนไข้ว่าพวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือในการเยียวยาทางจิตใจของผู้ป่วยอย่างเต็มที่

และทางโรงพยาบาลเองก็ได้ส่งรายละเอียดความผิดพลาดดังกล่าวไปยังสำนักงานอัยการประจำภูมิภาค เพื่อตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นและป้องกันไม่ให้ความผิดพลาดนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว

แม้ว่าในข่าวที่ออกมา ทางโรงพยาบาลจะไม่ได้มีการระบุว่าพวกเขาจะมีการช่วยเหลือด้านการเงินหรือชดใช้ค่าเสียหายให้กับคนไข้แต่อย่างไรก็ตาม

 

ที่มา globalnews, independent, cnn และ The MATTER

คู่รักจัดเซ็กส์สุดร้อนแรงที่โรงแรม เช้ามาโดนโทรคอมเพลน เพิ่งรู้ว่าหน้าต่างใสกิ๊งเห็นหมดเลย

$
0
0

บางครั้งการมีเซ็กส์ที่อื่น นอกจากที่บ้าน เช่นที่โรงแรม ก็อาจจะต้องเช็กดูให้ดีก่อนว่าที่ห้องของโรงแรมนั้นมีสภาพเป็นอย่างไร เพราะไม่เช่นนั้น คุณอาจจะเจอแบบเหตุการณ์ต่อไปนี้ก็ได้

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา ผู้ใช้ TikTok รายหนึ่ง ชื่อว่า Rebekka โพสต์เล่าประสบการณ์ หลังจากที่มีเซ็กส์กันอย่างร้อนแรงที่โรงแรมดังในเมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์

 

 

แต่เช้ามาดันโดนพนักงานโทรมาแจ้งการคอมเพลน ว่าการมีเซ็กส์ของเธอไปรบกวนผู้อื่น พอมาเช็กดูดีๆ ก็พบว่าหน้าต่างห้องที่เธอพักอาศัยอยู่นั้นมันไม่ได้มีการติดฟิล์ม

 

 

เท่ากับว่าทุกคนจะเห็นทั้งสองคนทำกิจกรรมเข้าจังหวะกันได้แบบเต็มๆ จากด้านนอก

ตามรายงานของเว็บไซต์ DailyMail ระบุว่าทั้งสองคนเข้าพักที่โรงแรมชื่อว่า Radisson Red ในกรุงกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์

 

สภาพหน้าตาของโรงแรมมันก็จะประมาณนี้ (แต่ไม่ทราบว่าทั้งสองคนพักอยู่ฝั่งไหน)

 

ซึ่งคืนก่อนหน้านี้ทั้งคู่ก็จัดกิจกรรมเข้าจังหวะกันแบบชนิดที่ว่าร้อนแรงสุดๆ แบบปิดหน้าต่างเอาไว้ แต่ไม่ได้ปิดผ้าม่าน

พอเช้ามาเจ้าหน้าที่ได้โทรมาแจ้งเรื่องการคอมเพลนจากลูกค้าท่านอื่น พร้อมกับข้อความประมาณว่า “มีแขกท่านอื่นโทรมาแจ้ง และแนะนำว่าคุณควรจะปิดผ้าม่านก่อนทำกิจกรรมเข้าจังหวะกันด้วยนะครับ”

 

 

“ตามนโยบายของโรงแรมเรา ไม่ได้สนใจว่าลูกค้าจะทำกิจกรรมอะไรกัน แต่เราอยากจะแจ้งให้ทราบว่ากระจกของทางโรงแรมเรา ไม่ได้ทำการติดฟิล์มเอาไว้ เพราะฉะนั้นควรจะทำการปิดผ้าม่านให้เรียบร้อย”

ระหว่างที่มีการคอมเพลนกันสาว Rebekka ก็ได้ทำการถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้ด้วย พร้อมกับพูดในคลิปว่า “อย่าบอกนะว่า….”

 

คลิปวิดีโอดังกล่าว

@rebekkamccabe

Word to the wise, a very popular hotel in glasgow DOES NOT have tinted windows xxx

♬ original sound – Rebekka Mccabe

 

ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเอาคลิปวิดีโอดังกล่าวไปอัปโหลดลงบน TikTok และไม่นานมันก็กลายเป็นกระแสไวรัลที่ได้รับความสนใจมากมาย

ชาวเน็ตหลายคนต่างก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันไปต่างๆ นานา ลองไปอ่านความเห็นของชาวเน็ตดูครับ…

 

“โอ้พระเจ้า มันน่าตกใจจริงๆ”

“คนที่จำเลขห้อง เพื่อโทรมาคอมเพลนได้เนี่ย มันคงจะต้องนั่งจ้องดูอยู่นานพอสมควรเลยนะ”

“ผมทำงานอยู่ตรงข้ามกับโรงแรมนี้ และเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์”

 

เรียบเรียงโดย #เหมียวหง่าว

ที่มา : dailymail, rebekkamccabe

พ่อค้าปวดหัวกับลูกค้าโวยวาย ชั้นวางของไม่ตรงปก ขอให้ลองหมุนตามโดนสวน ‘ดูไม่เป็นเหรอ’

$
0
0

การขายของออนไลน์เป็นช่องทางที่สะดวกและรวดเร็วมากๆ สำหรับผู้ขายและผู้ซื้อ แต่ถึงอย่างนั้นแล้วมันกลับมีความซับซ้อนยิ่งกว่าการขายหน้าร้านตรงๆ เนื่องจากอาจจะเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคของการให้ความช่วยเหลือกับลูกค้า แต่จนแล้วจนรอดกลับคุยกันไม่รู้เรื่อง

 

 

 

เรื่องราวของคุณ Frank-Patipol Meanngoen กับการขายชั้นวางของติดผนังทรงรังผึ้งให้กับลูกค้าท่านหนึ่ง แต่กลับได้รับคอมเพลนจากลูกค้ามาว่า ‘สินค้าไม่ตรงกับในภาพ’ เพราะสิ่งที่ลูกค้าเห็นคือชั้นวางรังผึ้งทรงตรง (ถ่ายรูปแนวนอนแนบมา) ไม่เหมือนกับภาพสินค้าที่ขาย เป็นคนละแบบกัน

 

สินค้าที่ลูกค้าอยากได้

 

ลูกค้าส่งฟีดแบคบอกว่า จะเอามาวางแนวตั้ง แต่มาแบบนี้จะตั้งได้อย่างไร

 

สินค้าปกตินะครับลูกค้า สินค้าปกติค่ะ แต่มันไม่เหมือนในรูปที่ลงขาย

 

เหมือนตรงไหนคะ?

 

สงสัยท่าจะคุยยาก คืนสินค้าเถอะครับลูกค้า

 

ดูไม่เป็นเหรอคะ?

 

ลูกค้าถ่ายรูปมาไม่ตรง วางสินค้าก็ไม่ตรง

 

ลองวางแนวตั้งแล้วก็ไม่น่าได้

 

พอลองวางแนวนอนก็ได้แต่แนวนอน

 

ก็มันวางได้แค่แนวนอน จะให้มาวางเฉียงเหมือนในรูปได้ไง (พ่อค้าส่งคลิปอธิบาย)

 

รบกวนลูกค้าศึกษาจากคลิปก่อนนะครับ ว่าจะต้องวางสินค้ายังไง

 

บทสรุประหว่างพ่อค้ากับลูกค้าโวยวายชั้นรังผังที่ไม่เหมือนในรูปคือตีสินค้าคืน หลังจากที่ลูกค้าได้รับคลิปอธิบายการจัดวางสินค้าไปแล้วก็หายไปประมาณหนึ่ง ตอบกลับด้วยความสุภาพ ก่อนจะส่งของคืนกลับมาด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ไม่สามารถติดตั้งได้ตามต้องการ’

อย่างไรก็ดี ปัญหาของภาพสินค้าที่ชวนทำให้สับสนของชั้นวางของทรงรังผึ้งนี้ ก็ยังมีชาวเน็ตบางส่วนที่รู้สึกงงและเห็นเหมือนกับลูกค้าที่โวยว่า หากลองวางตามที่บอกทแยงแบบนั้น จะวางของได้อย่างไรในเมื่อองศาชั้นวางมันไม่สามารถตั้งของได้

 

ภาพที่ลูกค้าถ่าย

 

ภาพที่ลูกค้าจินตนาการออก

 

คุณ Frank-Patipol Meanngoen ระบุถึงภาพที่ลูกค้าถ่ายมาว่า ภาพที่เห็นก็จะงงหน่อย จึงให้ลูกค้าลองวางใหม่ตามภาพ แต่การนำภาพถ่ายไปวางทับซ้อนกันองศามันจะดูงงอีก แต่ลูกค้าไม่ยอมฟังเลย

ถึงแม้กระนั้นแล้วก็ยังมีคนมองไม่ออกอยู่ดี ก็ในเมื่อแบบชั้นที่เห็นมันแทบจะไม่สามารถวางตั้งตรงแบบนั้นได้เลย จนต้องมีคนเขียนภาพอธิบายเพิ่มเติมให้กระจ่างแบบนี้

 

เข้าใจกันรึยังนะ?

 

ที่มา: @Frank-Patipol Meanngoen

เปิดความเท่ของ ‘อีเจฮุน’คุณอาจาก Move to Heaven อดีตนักเรียนวิศวะ สู่การเป็นนักแสดง

$
0
0

ซีรีส์ Move to Heaven กลายเป็นซีรีส์น้ำดีที่ได้รับการพูดถึงมาหลายสัปดาห์ติดกันเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะความหล่อเท่ของตัวละครซังกู คุณอาสุดห่าม ทรงผมมูเลท แต่อ่อนโยน ที่สามารถมัดใจผู้ชมได้อย่างอยู่หมัด

เห็นในเรื่องคุณอาดูเท่แบบห่ามๆ และใจร้อนขนาดนี้ แต่ตัวจริงของนักแสดงผู้รับบทบาทซังกูคนนี้ทั้งน่ารัก อ่อนโยนและมีความความสามารถมากกว่าที่เราเห็นอีกค่ะ วันนี้ #เหมียวนานะ เลยขอพาทุกคนไปรู้จักและเปิดความเท่ของเขาไปพร้อมๆ กันเลย

 

 

เขาคนนี้มีนามว่า ‘อีเจฮุน‘ ปัจจุบันอายุ 36 ปี แต่ถือว่าเป็นอปป้าหนุ่มหน้าเด็กกว่าอายุคนหนึ่งเลยก็ว่าได้

เห็นเจฮุนแสดงเก่งและเจ้าน้ำตาขนาดนี้ แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้เริ่มเรียนการแสดงเหมือนกับนักแสดงหลายๆ คน เพราะเขาเคยเป็นนักศึกษาวิศวกรรม สาขาเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechonology) มาก่อน

แถมยังเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่าง Korea University ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของเกาหลีใต้อีกด้วย ก่อนที่จะมาเตรียมพร้อมกับนักแสดงด้วยการเข้าเรียนในสถาบัน Korea National University of Arts

 

.

 

อย่างไรก็ตาม ชีวิตการเป็นนักแสดงของเจฮุนในช่วงแรกไม่ได้โด่งดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมาในทีเดียวค่ะ เพราะเขาเริ่มต้นจากการเล่นบทบาทในภาพยนตร์อินดี้และภาพยนตร์สั้นต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็น They Live By Night (2007,  Small Town Rivals (2007),  Just Friends ? (2009) ในฐานะตัวประกอบทั้งสิ้น

จนในปี 2011 เขาก็กลายเป็นที่รู้จักในวงการจากการแสดงเป็นตัวหลักในภาพยนตร์  The Front Line (2011) และได้รับความนิยมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

 

เจฮุนเป็นนักแสดงที่ทุ่มเทให้กับอาชีพการแสดงสุดๆ ไปเลยล่ะ ครั้งหนึ่งในตอนที่เขาอายุ 27 ปี เขาต้องแสดงเป็นตัวละครสิงห์อมควันที่ต้องสูบบุหรี่อยู่ตลอดเวลาในขณะที่ตัวเขาไม่เคยสูบบุหรี่เลย เขากล่าวในบทสัมภาษณ์กับสื่อว่า

“ตอนนั้นผมอยากจะเข้าถึงบทบาทให้มากที่สุดเลยฝึกสูบบุหรี่และถุยน้ำลายดู ขณะนั้นผมต้องสูบบุหรี่ติดกันหลายฉาก

พอผ่านไป 8 เทค ผมก็เป็นลมจนโดนหามส่งห้องฉุกเฉินไปเลย ผมทั้งอ้วก ต้องเติมวิตามินเข้าร่างกาย และหลับๆ ตื่นๆ อยู่แบบนั้น”

 

แต่ความพยายามและความทุ่มเทของเขาทำให้ในช่วงที่เจฮุนอายุ 27 ปี กลายเป็นปีทองของเขาเลยค่ะ เพราะเขาประสบความสำเร็จใจภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง แถมยังกวาดรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ไปครองจากภาพยนตร์เรื่อง Bleak Night อีกด้วย

 

 

ตั้งแต่ปี 2011 มาจนถึงตอนนี้เราจะเห็นใบหน้าของเจฮุนปรากฏอยู่บนภาพยนตร์และซีรีส์เรื่องดังมาตลอด แน่นอนว่า Move to Heaven ก็เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่ทำให้เขาได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีก

 

 

นอกจากนี้เขายังมีซีรีส์ Taxi Driver ฉายบน viu ด้วยนะ ซึ่งเขารับบทเป็นแท็กซี่หนุ่มสายโหดผู้คอยแก้แค้นให้กับเหล่าผู้โดยสาร โดยซีรีส์เรื่องนี้กวาดเรตติ้งไปมากถึง 15.6% เลยทีเดียว

 

 

เห็นประวัติของเขาแล้วก็อยากยกหัวใจและปัดเข้าลิสต์อปป้าผู้น่ารักของ #เหมียวนานะ จริงๆ ค่ะ หากใครที่ชื่นชอบเจฮุนก็สามารถติดตามเขาได้ที่อินสตาแกรม @leejehoon_official ได้เลย

 

เรียบเรียงโดย #เหมียวนานะ

แชร์เอกสาร Sinopharm 20 ล้านโดส –ติดต่อรัฐบาลมา 1 เดือนไม่ได้ –ดวงฤทธิ์แฉ มีคนเรียกค่าคุย 5 ล้าน!!

$
0
0

ย้อนกลับไปในช่วงเช้าวันนี้ (27 พฤษภาคม) เราได้เขียนข่าวประกาศราชกิจจาฯ เพิ่มอำนาจราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ สามารถนำเข้าวัคซีน ในวิกฤติโควิด-19 ได้

 

ช่วงบ่ายวันนี้ มีกระแสการแชร์เอกสารของ บริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ จำกัด บนโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นเอกสารจากทางบริษัทส่งถึง เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ต่อโดยทันที

โดยในเอกสาร เป็นการเสนอขายวัคซีนต้านโควิด-19 ยี่ห้อ Sinopharm จำนวน 20 ล้านโดส ซึ่งสามารถดำเนินการส่งมอบได้ในเวลาเพียง 2 สัปดาห์อีกด้วย

 

สิ่งที่น่าสนใจในเอกสารฉบับดังกล่าวก็คือ ตลอดช่วงเวลา 1  เดือนที่ผ่านมา  มีการแจ้งเอาไว้ว่าพยายามติดต่อกับทางนายกรัฐมนตรี รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แต่ก็ไม่สามารถติดต่อเข้าพบเพื่อเสนอขายวัคซีนดังกล่าวได้

ในวันนี้บริษัทฯ จึงถือโอกาสเสนอขายผ่านเอกสารฉบับนี้แทนนั่นเอง

.

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ชาวเน็ตได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีโพสต์ทวิตเตอร์ของคุณดวงฤทธิ์ บุนนาค ได้ทำการโพสต์เรื่องที่คล้ายคลึงกันเอาไว้

ในช่วงต้นเดือน เขาบอกว่ามีรุ่นน้องที่รู้จัก พยายามนำวัคซีน  Sinopharm จำนวน 20 ล้านโดส  เข้ามาเสนอให้รัฐบาลไทยใช้งาน  โดยสามารถส่งมอบได้ใน 2 สัปดาห์เลย

แต่ปรากฏว่าไม่สามารถเข้าถึงรัฐบาลได้ เพราะตัวแทนนั้นถามหา “ผลประโยชน์ตอบแทน” กันก่อนทั้งหมด

.

 

ซึ่งหลังจากเข้าโพสต์ออกมาในตอนนั้น ถูกโจมตีว่าเป็นการกุเรื่อง และจงใจปั่นเฟคนิวส์ แต่เรื่องดังกล่าวทั้งปริมาณโดส และระยะเวลาส่งมอบ มาตรงกับเอกสารของบริษัท แอคแคป แอสเซ็ทส์ ที่ออกมาตอนนี้พอดี

 

และปิดท้ายด้วยโพสต์ล่าสุดบนทวิตเตอร์ของคุณดวงฤทธิ์ ซึ่งออกมาย้ำในประเด็นวัคซีน Sinopharm จำนวน  20 ล้านโดส ที่เขาเคยโพสต์เอาไว้เมื่อต้นเดือน

โดยระบุว่า ไม่สามารถติดต่อกับทางภาครัฐได้ และที่ไม่ได้ขายวัคซีน เพราะมีการเรียกค่าคุย 5 ล้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเด็ดขาด โดยเฉพาะในภาวะวิกฤติโรคระบาดเช่นนี้..

.

 

เรียบเรียง  #ประธานเหมียว

Viewing all 20863 articles
Browse latest View live